พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เข้าสู่ระบบ
หน้าแรก
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ค้นหาข้อมูล
เข้าสู่ระบบ
พระผงรูปเหมือนส...
พระผงรูปเหมือนสมเด็จโต หลวงปู่นาค วัดระฆัง ปี 2495
-สร้างจากมวลสารเก่าของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
-เป็นพระเก็บเก่าจากพ่อที่ได้จากวัดโดยตรง คุณพ่อจะทันยุคหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินในสมัยนั้น
-คุณพ่อชื่อ กิมเฮี้ยง แซ่อึ้ง เกิด ปี 2470 อายุน้อยกว่าปู่นาค 43 ปี และน้อยกว่าปู่หิน 28 ปี ด้วยความศรัทธาท่านได้เก็บสะสมพระเครื่องของหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินอยู่บางส่วน
******************
ประวัติหลวงปู่นาค
ชื่อ นาค นามสกุล มะเริงสิทธิ์
ชาติภูมิ
บ้านปราสาท ตำบลจันอัด (ตำบลเมืองปราสาท ในปัจจุบัน) อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
ชาติกาล
วันศุกร์ ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๗ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก จุลศักราช ๑๑๔๖) เวลา ๑๙:๑๐ น.
ทวด
หลวงเริง ต้นตระกูลมะเริงสิทธิ์ (เป็นตระกูลผู้มีอันจะกินตระกูลหนึ่งแห่งเมืองนครราชสีมา
ปู่ ย่า
ปู่ชื่อ ขุนประสิทธิ์ (อยู่) เป็นนายอากรเมืองโคราช
ย่าชื่อ ฉิม มะเริงสิทธิ์
ตา ยาย
ตาชื่อ พระวิเศษ (ทองศุข)
ยายชื่อ อิ่ม
บิดาชื่อ
นายป้อม มะเริงสิทธิ์
มารดาชื่อ
นางสงวน มะเริงสิทธิ์
ญาติพี่น้องร่วมบิดามารดา มี ๔ คน คือ
๑.พระเทพสิทธินายก (นาค มะเริงสิทธิ์)
๒.พระภิกษุโชติ มะเริงสิทธิ์
๓.นางทุเรียน ปภาวดี
๔.นางอุดร จุลรัษเฐียร
ชีวิตวัยเยาว์
เป็นเด็กใฝ่แสวงหาความรู้ใส่ตัว เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล ตั้งแต่สมัยบ้านเมืองยังไม่มีโรงเรียน เด็กผู้ชายสมันนั้นต้องอาศัยวัดเป็นสถานที่เรียนหนังสือ บิดามารดาพาท่านมาฝากเป็นเด็กวัด อยู่กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี) ผู้เป็นลุง ที่วัดบึง ใกล้ประตูชุมพล นครราชสีมา ได้รับการอบรม อ่าน เขียน เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาบาลี อาศัยที่ท่านเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเล่าเรียนเก่ง ความทรงจำดี มีความประพฤติเรียบร้อยอาจารย์จึงแนะนำให้เดินทางเข้าศึกษาเล่าเรียนต่อในสำนักที่ดีๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป
บรรพชา
ประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๐ อายุได้ ๑๓ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบึง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีพระครูสังฆวิจารย์ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์
เข้ากรุงเทพฯ
เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยกองคาราวานวัวต่าง มีผู้ร่วมเดินทางประมาณ ๓๐ คน เดินทางจากโคราชรอนแรมมาเป็นเวลาแรมเดือน จวนจะถึงจังหวัดสระบุรี ท่านเห็นกุลี (กรรมกร) จำนวนมากกำลังกรุยทางเพื่อสร้างทางรถไฟไปนคราชสีมา พอถึงเมืองสระบุรีท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย บิดาจึงพาแยกออกจากกองคาราวาน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์อยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่งมีศักดิ์เป็นน้าที่วัดทองพุ่มพวง สระบุรี หลวงน้าช่วยอุปการะอยู่ที่วัดเป็นเวลานานหลายเดือนระหว่างนั้นท่านได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย โดยมิได้ลดละความตั้งใจที่จะเดินทางเข้าศึกษาธรรมะบาลีในกรุงเทพฯ ให้ได้ในโอกาสหน้า ในที่สุดพระน้าชายก็ได้นำสามเณรนาคเดินทางเข้าถึงกรุงเทพฯ โดยนำไปฝากไว้กับพระอาจารยเลื่อม พระลูกวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งกุฎิของท่านอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีวัดระฆัง)
พระอาจารย์เลื่อม เป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก แต่เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีลูกศิษย์มาก ท่านเป็นปรมาจารย์ในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านได้พร่ำสอนสามเณรนาคด้วยความรักและเอ็นดู สามเณรนาคเองก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย ยุคนั้นวัดระฆังโฆสิตารามมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (มร.ว.เจริญ อิศรางกูร) เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์เอกของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นว่า ต่อไปภายหน้าสามเณรนาคจะสร้างเกียรติประวัติดีเด่นเป็นเอกในสำนัก ทั้งการปริยัติคือการเล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี และการปฏิบัติในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงรับสามเณรนาคไว้ในอุปการะ
บ้านเมืองในสมันนั้น ฝั่งกรุงเทพฯ กับฝั่งกรุงธนบุรี แม้ห่างกันเพียงแค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้นเท่านั้น แต่ก็มีความเจริญแตกต่างกัน กรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่วัดระฆังฯ ที่อยู่ฝั่งธนบุรีเมืองหลวงเก่า กลับดูเป็นเหมือนว่าอยู่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดระฆังฯ นั้น มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล รายล้อมด้วยเรือกสวนไร่นา เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง เหมาะสมเป็นที่ประพฤติพรตพรหมจรรย์ของพระสงฆ์องค์เจ้าผู้เคร่งครัดพระธรรมวินัยและใฝ่ปฏิบัติ
การศึกษา
หลวงปู่นาค เล่าว่า “พระอาจารย์นวล เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี เดิมทีจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ แต่ได้ข้ามฟากมาสอนบาลีอยู่ที่วัดระฆังฯ และได้เป็นอาจารย์สอนบาลีหลวงปู่ด้วย”
พ.ศ.๒๔๔๒
สามเณรนาค อายุได้ ๑๕ ปี ได้เล่าเรียนภาษาบาลีมีความรู้ถึงขั้นเข้าแปล บาลีเปรียญธรรม ๓ ประโยคเป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่ง โดยมีพระเถรานุเถระทรงสมณศักดิ์หลายรูปเป็นกรรมการฝ่ายสงฆ์ ผลปรากฏว่าสามเณรนาคสอบแปลด้วยปากได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้รับพระราชทานไทยธรรมเครื่องอัฏฐบริขาร จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
พ.ศ.๒๔๔๘
สามเณรนาคมิได้หยุดยั้งความตั้งใจ พยายามศึกษาเล่าเรียนต่อและได้เข้าสอบแปลประโยคบาลีต่อหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่าสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค โดยการแปลด้วยปาก ซึ่งเป็นการยากสำหรับยุคนั้น แต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุสามเณรสอบได้เพียงไม่กี่รูป
อุปสมบท
พ.ศ.๒๔๔๘
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ว.ร.เจริญ อิศรางกูร) ผู้อุปการะสามเณรนาค เห็นว่ามีอายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงจัดการนิมนต์พระมีสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ในพิธีการอุปสมบท ณ พระอุโสถวัดระฆังโฆษิตาราม โดยมี
- สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์
- สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
- พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอนุศาสวนาจารย์ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)
สำหรับพระธรรมไตรโลกาจารย์ ได้เป็นผู้บอกอนุศาสน์ พระอุปัชฌาย์ให้นามฉายาพระมหานาคว่า “โสภโณ”
พ.ศ.๒๔๔๙
พระมหานาค โสภโณ เข้าสอบแปลเปรียญธรรม ๕ ประโยคได้ แต่ไม่ได้เข้าสอบเปรียญธรรมต่อถึงประโยค ๖ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ท่านมีภารกิจเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดถวายงานวัดให้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาส
เรียนวิปัสสนา
ในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมบาลีอยู่นั้น ท่านได้หาเวลาไปศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฏฐานเพิ่มเติมกับพระอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) และได้ลงมือปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเคร่งครัด โดยเพียรพยายามศึกษาและฝึกปฏิบัติอยู่นานถึง ๑๐ ปี ก็สามารถทำมูลกัมมัฏฐานเป็นฌานวิปัสสนาสามารถส่งกระแสจิตได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ในครั้งหนึ่งมีลูกโยคีมาฝึกทำวิปัสสนา จนสามารถถอดวิญญาณดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้ เป็นเวลานานถึง ๒ วัน ก็ยังไม่คืนสติ ยังคงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น
ท่านเจ้าประคุณพระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค) ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่ จึงได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปตามวิญญาณของลูกโยคีผู้นั้น แล้วไปพบอยู่ที่สุสานวัดดอน เขตยานนาวา ปรากฏว่า เห็นกำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่ ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้น ให้กลับคืนร่างตามเดิม เพราะล่วงมา ๒-๓ วันแล้ว ถ้าหากล่าช้าจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้ เพราะร่างกายอาจเปื่อยเน่าเสียก่อน วิญญาณของลูกโยคีผู้นั้นจึงได้สติ แล้วกลับคืนเข้าร่างตามเดิม ณ ที่นั่งสมาธิอยู่ในศาลาวัดระฆังฯ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า คุณโยมของท่านป่วยหนักอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมิได้ส่งข่าวคราวถึงท่าน แต่ท่านก็สามารถหยั่งรู้ได้ในสมาธิ แล้วนำหยูกยาไปรักษาพยาบาลได้อย่างถูกต้องเพราะท่านใช้กระแสจิตในทางวิปัสสนาเป็นตัวกำหนดจิตทำให้เกิดเป็นพลังขึ้นมา เป็นเหตุให้ท่านคิดสร้าง พระสมเด็จ ปี พ.ศ.๒๔๘๔ ขึ้นมา โดยอาศัยตำราของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) ระหว่างนั้นเป็นเวลาที่บ้านเมืองเกิดสงครามเอเชียบูรพาอยู่ ท่านจึงได้แจกจ่ายพระสมเด็จดังกล่าวให้ทหารติดตัวไปในสมรภูมิ เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่ทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย พระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้นครั้งนั้น และที่สร้างขึ้นในรุ่นต่อๆ มา ปรากฏว่า ได้ก่ออภินิหารคงกระพันชาตรี มีพลังทางเมตตามหานิยม มีเกียรติคุณเป็นเยี่ยมในวงการพระเครื่อง ตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้
หน้าที่การงาน
พ.ศ.๒๔๖๗
- เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม
พ.ศ.๒๔๖๘
- เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดระฆังโฆษิตาราม
เกียรติคุณ
- เป็นพระปฏิบัติเคร่งครัดพระธรรมวินัย
- เป็นพระวิปัสสนาจารย์มีจิตใจสงบเป็นสมาธิ สามารถเข้าวิปัสสนาถึงขั้นถอดจิตได้
- สร้างวัตถุมงคล พระผงสูตรสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) มากมายหลายรุ่น
- นามท่านชาวบ้านเรียกขานติดปากว่า “หลวงปู่นาค” วัดระฆังฯ ตราบเท่าถึงทุกวันนี้
สมณศักดิ์
พ.ศ.๒๔๖๔
- ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระธรรมกิติ
พ.ศ.๒๔..
- ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชโมฬี
พ.ศ.๒๔๗๔
- ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพสิทธินายก
มรณภาพ
ท่ารมรณภาพด้วยโรคชรา ที่โรงพยาบาลศิริราช จังหวัดธนบุรี เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ เวลา ๐๔:๔๕ น. สิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี อยู่ในสมณเพศ ๗๕ ปี เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตาราม อยู่ ๔๗ ปี นับว่าเป็นเจ้าอาวาสที่ครองวัดนานที่สุดองค์หนึ่ง
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
พระเนื้อผงรุ่นแรก สร้างปี พ.ศ.๒๔๘๕ ประกอบด้วยพิมพ์ทรงเทวดาอกตัน-อกร่อง เทวดาขัดเพชร และพิมพ์สามเหลี่ยม
พระเนื้อผงรุ่นสอง สร้างปี พ.ศ.๒๔๙๕ ประกอบด้วยพิมพ์สมเด็จโต นั่งบริกรรม พิมพ์ปรกโพธิ์ ฝังและไม่ฝังตะกรุด พิมพ์พระประธาน ฝังและไม่ฝังตะกรุด นางพญา คะแนนฐานสิงห์ รูปหล่อ เหรียญโล่ และเหรียญข้าวหลามตัด นอกจากนี้ยังมีอีกหลายรุ่น สร้างในปี พ.ศ.๒๔๙๙, ๒๕๐๐, ๒๕๐๔, ๒๕๐๗, ๒๕๐๙ และรุ่นสุดท้ายคือรุ่นแซยิด ๗ รอบ ปี พ.ศ.๒๕๑๑
ผู้เข้าชม
5666 ครั้ง
ราคา
-
สถานะ
จองแล้ว
โดย
พีพีพระเครื่อง
ชื่อร้าน
พีพีพระเครื่อง
ร้านค้า
ppprakroung.99wat.com
โทรศัพท์
0894483434
ไอดีไลน์
tanetbty
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 057-1-47965-6
พระสมเด็จหลวงปู่นาค พิมพ์ใหญ่
พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์สังฆฏิ
พระพุทธชินราชหลวงพ่อเงิน หลังเ
รูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พ
พระกรุดอนลาน มีกริ่ง
เหรียญหลวงพ่อขอม ที่ระลึกกลับจ
พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ยอดขุนพ
เหรียญพญาเต่าเรือน หลวงปู่คำ เ
ล็อคเก็ตรัชกาลที่ 5 เลี่ยมทองค
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
ลงพระฟรี
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ลืมรหัสผ่าน
ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
ยุ้ย พลานุภาพ
Le29Amulet
เจริญสุข
ว.ศิลป์สยาม
บ้านพระสมเด็จ
ก้อง วัฒนา
บ้านพระหลักร้อย
ชา วานิช
ชาวานิช
ปลั๊ก ปทุมธานี
jazzsiam amulet
ยอด วัดโพธิ์
TotoTato
น้ำตาลแดง
kumpha
termboon
พีพีพระสมเด็จ
ภูมิ IR
Nithiporn
ep8600
nattapong939
digitalplus
ขวัญเมือง
Poosuphan89
tintin
fuchoo18
Achi
tumlawyer
Muthita
เทพจิระ
ผู้เข้าชมขณะนี้ 511 คน
เพิ่มข้อมูล
พระผงรูปเหมือนสมเด็จโต หลวงปู่นาค วัดระฆัง ปี 2495
ส่งข้อความ
ชื่อพระเครื่อง
พระผงรูปเหมือนสมเด็จโต หลวงปู่นาค วัดระฆัง ปี 2495
รายละเอียด
-สร้างจากมวลสารเก่าของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
-เป็นพระเก็บเก่าจากพ่อที่ได้จากวัดโดยตรง คุณพ่อจะทันยุคหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินในสมัยนั้น
-คุณพ่อชื่อ กิมเฮี้ยง แซ่อึ้ง เกิด ปี 2470 อายุน้อยกว่าปู่นาค 43 ปี และน้อยกว่าปู่หิน 28 ปี ด้วยความศรัทธาท่านได้เก็บสะสมพระเครื่องของหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินอยู่บางส่วน
******************
ประวัติหลวงปู่นาค
ชื่อ นาค นามสกุล มะเริงสิทธิ์
ชาติภูมิ
บ้านปราสาท ตำบลจันอัด (ตำบลเมืองปราสาท ในปัจจุบัน) อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
ชาติกาล
วันศุกร์ ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๗ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก จุลศักราช ๑๑๔๖) เวลา ๑๙:๑๐ น.
ทวด
หลวงเริง ต้นตระกูลมะเริงสิทธิ์ (เป็นตระกูลผู้มีอันจะกินตระกูลหนึ่งแห่งเมืองนครราชสีมา
ปู่ ย่า
ปู่ชื่อ ขุนประสิทธิ์ (อยู่) เป็นนายอากรเมืองโคราช
ย่าชื่อ ฉิม มะเริงสิทธิ์
ตา ยาย
ตาชื่อ พระวิเศษ (ทองศุข)
ยายชื่อ อิ่ม
บิดาชื่อ
นายป้อม มะเริงสิทธิ์
มารดาชื่อ
นางสงวน มะเริงสิทธิ์
ญาติพี่น้องร่วมบิดามารดา มี ๔ คน คือ
๑.พระเทพสิทธินายก (นาค มะเริงสิทธิ์)
๒.พระภิกษุโชติ มะเริงสิทธิ์
๓.นางทุเรียน ปภาวดี
๔.นางอุดร จุลรัษเฐียร
ชีวิตวัยเยาว์
เป็นเด็กใฝ่แสวงหาความรู้ใส่ตัว เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล ตั้งแต่สมัยบ้านเมืองยังไม่มีโรงเรียน เด็กผู้ชายสมันนั้นต้องอาศัยวัดเป็นสถานที่เรียนหนังสือ บิดามารดาพาท่านมาฝากเป็นเด็กวัด อยู่กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี) ผู้เป็นลุง ที่วัดบึง ใกล้ประตูชุมพล นครราชสีมา ได้รับการอบรม อ่าน เขียน เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาบาลี อาศัยที่ท่านเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเล่าเรียนเก่ง ความทรงจำดี มีความประพฤติเรียบร้อยอาจารย์จึงแนะนำให้เดินทางเข้าศึกษาเล่าเรียนต่อในสำนักที่ดีๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป
บรรพชา
ประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๐ อายุได้ ๑๓ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบึง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีพระครูสังฆวิจารย์ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์
เข้ากรุงเทพฯ
เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยกองคาราวานวัวต่าง มีผู้ร่วมเดินทางประมาณ ๓๐ คน เดินทางจากโคราชรอนแรมมาเป็นเวลาแรมเดือน จวนจะถึงจังหวัดสระบุรี ท่านเห็นกุลี (กรรมกร) จำนวนมากกำลังกรุยทางเพื่อสร้างทางรถไฟไปนคราชสีมา พอถึงเมืองสระบุรีท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย บิดาจึงพาแยกออกจากกองคาราวาน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์อยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่งมีศักดิ์เป็นน้าที่วัดทองพุ่มพวง สระบุรี หลวงน้าช่วยอุปการะอยู่ที่วัดเป็นเวลานานหลายเดือนระหว่างนั้นท่านได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย โดยมิได้ลดละความตั้งใจที่จะเดินทางเข้าศึกษาธรรมะบาลีในกรุงเทพฯ ให้ได้ในโอกาสหน้า ในที่สุดพระน้าชายก็ได้นำสามเณรนาคเดินทางเข้าถึงกรุงเทพฯ โดยนำไปฝากไว้กับพระอาจารยเลื่อม พระลูกวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งกุฎิของท่านอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีวัดระฆัง)
พระอาจารย์เลื่อม เป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก แต่เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีลูกศิษย์มาก ท่านเป็นปรมาจารย์ในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านได้พร่ำสอนสามเณรนาคด้วยความรักและเอ็นดู สามเณรนาคเองก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย ยุคนั้นวัดระฆังโฆสิตารามมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (มร.ว.เจริญ อิศรางกูร) เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์เอกของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นว่า ต่อไปภายหน้าสามเณรนาคจะสร้างเกียรติประวัติดีเด่นเป็นเอกในสำนัก ทั้งการปริยัติคือการเล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี และการปฏิบัติในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงรับสามเณรนาคไว้ในอุปการะ
บ้านเมืองในสมันนั้น ฝั่งกรุงเทพฯ กับฝั่งกรุงธนบุรี แม้ห่างกันเพียงแค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้นเท่านั้น แต่ก็มีความเจริญแตกต่างกัน กรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่วัดระฆังฯ ที่อยู่ฝั่งธนบุรีเมืองหลวงเก่า กลับดูเป็นเหมือนว่าอยู่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดระฆังฯ นั้น มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล รายล้อมด้วยเรือกสวนไร่นา เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง เหมาะสมเป็นที่ประพฤติพรตพรหมจรรย์ของพระสงฆ์องค์เจ้าผู้เคร่งครัดพระธรรมวินัยและใฝ่ปฏิบัติ
การศึกษา
หลวงปู่นาค เล่าว่า “พระอาจารย์นวล เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี เดิมทีจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ แต่ได้ข้ามฟากมาสอนบาลีอยู่ที่วัดระฆังฯ และได้เป็นอาจารย์สอนบาลีหลวงปู่ด้วย”
พ.ศ.๒๔๔๒
สามเณรนาค อายุได้ ๑๕ ปี ได้เล่าเรียนภาษาบาลีมีความรู้ถึงขั้นเข้าแปล บาลีเปรียญธรรม ๓ ประโยคเป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่ง โดยมีพระเถรานุเถระทรงสมณศักดิ์หลายรูปเป็นกรรมการฝ่ายสงฆ์ ผลปรากฏว่าสามเณรนาคสอบแปลด้วยปากได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้รับพระราชทานไทยธรรมเครื่องอัฏฐบริขาร จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
พ.ศ.๒๔๔๘
สามเณรนาคมิได้หยุดยั้งความตั้งใจ พยายามศึกษาเล่าเรียนต่อและได้เข้าสอบแปลประโยคบาลีต่อหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่าสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค โดยการแปลด้วยปาก ซึ่งเป็นการยากสำหรับยุคนั้น แต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุสามเณรสอบได้เพียงไม่กี่รูป
อุปสมบท
พ.ศ.๒๔๔๘
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ว.ร.เจริญ อิศรางกูร) ผู้อุปการะสามเณรนาค เห็นว่ามีอายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงจัดการนิมนต์พระมีสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ในพิธีการอุปสมบท ณ พระอุโสถวัดระฆังโฆษิตาราม โดยมี
- สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์
- สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
- พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอนุศาสวนาจารย์ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)
สำหรับพระธรรมไตรโลกาจารย์ ได้เป็นผู้บอกอนุศาสน์ พระอุปัชฌาย์ให้นามฉายาพระมหานาคว่า “โสภโณ”
พ.ศ.๒๔๔๙
พระมหานาค โสภโณ เข้าสอบแปลเปรียญธรรม ๕ ประโยคได้ แต่ไม่ได้เข้าสอบเปรียญธรรมต่อถึงประโยค ๖ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ท่านมีภารกิจเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดถวายงานวัดให้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาส
เรียนวิปัสสนา
ในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมบาลีอยู่นั้น ท่านได้หาเวลาไปศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฏฐานเพิ่มเติมกับพระอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) และได้ลงมือปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเคร่งครัด โดยเพียรพยายามศึกษาและฝึกปฏิบัติอยู่นานถึง ๑๐ ปี ก็สามารถทำมูลกัมมัฏฐานเป็นฌานวิปัสสนาสามารถส่งกระแสจิตได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ในครั้งหนึ่งมีลูกโยคีมาฝึกทำวิปัสสนา จนสามารถถอดวิญญาณดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้ เป็นเวลานานถึง ๒ วัน ก็ยังไม่คืนสติ ยังคงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น
ท่านเจ้าประคุณพระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค) ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่ จึงได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปตามวิญญาณของลูกโยคีผู้นั้น แล้วไปพบอยู่ที่สุสานวัดดอน เขตยานนาวา ปรากฏว่า เห็นกำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่ ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้น ให้กลับคืนร่างตามเดิม เพราะล่วงมา ๒-๓ วันแล้ว ถ้าหากล่าช้าจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้ เพราะร่างกายอาจเปื่อยเน่าเสียก่อน วิญญาณของลูกโยคีผู้นั้นจึงได้สติ แล้วกลับคืนเข้าร่างตามเดิม ณ ที่นั่งสมาธิอยู่ในศาลาวัดระฆังฯ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า คุณโยมของท่านป่วยหนักอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมิได้ส่งข่าวคราวถึงท่าน แต่ท่านก็สามารถหยั่งรู้ได้ในสมาธิ แล้วนำหยูกยาไปรักษาพยาบาลได้อย่างถูกต้องเพราะท่านใช้กระแสจิตในทางวิปัสสนาเป็นตัวกำหนดจิตทำให้เกิดเป็นพลังขึ้นมา เป็นเหตุให้ท่านคิดสร้าง พระสมเด็จ ปี พ.ศ.๒๔๘๔ ขึ้นมา โดยอาศัยตำราของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) ระหว่างนั้นเป็นเวลาที่บ้านเมืองเกิดสงครามเอเชียบูรพาอยู่ ท่านจึงได้แจกจ่ายพระสมเด็จดังกล่าวให้ทหารติดตัวไปในสมรภูมิ เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่ทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย พระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้นครั้งนั้น และที่สร้างขึ้นในรุ่นต่อๆ มา ปรากฏว่า ได้ก่ออภินิหารคงกระพันชาตรี มีพลังทางเมตตามหานิยม มีเกียรติคุณเป็นเยี่ยมในวงการพระเครื่อง ตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้
หน้าที่การงาน
พ.ศ.๒๔๖๗
- เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม
พ.ศ.๒๔๖๘
- เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดระฆังโฆษิตาราม
เกียรติคุณ
- เป็นพระปฏิบัติเคร่งครัดพระธรรมวินัย
- เป็นพระวิปัสสนาจารย์มีจิตใจสงบเป็นสมาธิ สามารถเข้าวิปัสสนาถึงขั้นถอดจิตได้
- สร้างวัตถุมงคล พระผงสูตรสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) มากมายหลายรุ่น
- นามท่านชาวบ้านเรียกขานติดปากว่า “หลวงปู่นาค” วัดระฆังฯ ตราบเท่าถึงทุกวันนี้
สมณศักดิ์
พ.ศ.๒๔๖๔
- ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระธรรมกิติ
พ.ศ.๒๔..
- ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชโมฬี
พ.ศ.๒๔๗๔
- ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพสิทธินายก
มรณภาพ
ท่ารมรณภาพด้วยโรคชรา ที่โรงพยาบาลศิริราช จังหวัดธนบุรี เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ เวลา ๐๔:๔๕ น. สิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี อยู่ในสมณเพศ ๗๕ ปี เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตาราม อยู่ ๔๗ ปี นับว่าเป็นเจ้าอาวาสที่ครองวัดนานที่สุดองค์หนึ่ง
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
พระเนื้อผงรุ่นแรก สร้างปี พ.ศ.๒๔๘๕ ประกอบด้วยพิมพ์ทรงเทวดาอกตัน-อกร่อง เทวดาขัดเพชร และพิมพ์สามเหลี่ยม
พระเนื้อผงรุ่นสอง สร้างปี พ.ศ.๒๔๙๕ ประกอบด้วยพิมพ์สมเด็จโต นั่งบริกรรม พิมพ์ปรกโพธิ์ ฝังและไม่ฝังตะกรุด พิมพ์พระประธาน ฝังและไม่ฝังตะกรุด นางพญา คะแนนฐานสิงห์ รูปหล่อ เหรียญโล่ และเหรียญข้าวหลามตัด นอกจากนี้ยังมีอีกหลายรุ่น สร้างในปี พ.ศ.๒๔๙๙, ๒๕๐๐, ๒๕๐๔, ๒๕๐๗, ๒๕๐๙ และรุ่นสุดท้ายคือรุ่นแซยิด ๗ รอบ ปี พ.ศ.๒๕๑๑
ราคาปัจจุบัน
-
จำนวนผู้เข้าชม
5667 ครั้ง
สถานะ
จองแล้ว
โดย
พีพีพระเครื่อง
ชื่อร้าน
พีพีพระเครื่อง
URL
http://www.ppprakroung.99wat.com
เบอร์โทรศัพท์
0894483434
ID LINE
tanetbty
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกสิกรไทย / 057-1-47965-6
กำลังโหลดข้อมูล
หน้าแรกลงพระฟรี